แร่ใยหิน หรือ Asbestos คือ แร่ธรรมชาติที่ปน อยู่ในเนื้อหิน ประกอบด้วยธาตุแมกนีเซียม เหล็ก ซิลิเกต และธาตุอื่นๆ มีลักษณะเป็นเส้นใยละเอียด
คุณสมบัติพิเศษ
- ทนไฟ ไม่นําความร้อนและไฟฟ้า
- มีความแข็งเหนียว และยืดหยุ่น
- สามารถนํามาปั่นเป็นเส้นและทอเป็นผืนได้
- ทนกรดและด่างได้ดี
ถูกนํามาใช้เป็นส่วนผสมใน ผลิตภัณฑ์หลายชนิด เช่น อุตสาหกรรมการผลิตวัสดุก่อสร้าง (กระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องแผ่นเรียบ ฝ้าเพดาน) อุตสาหกรรมการผลิตท่อน้ำซีเมนต์ กระเบื้องยางไวนิลปูพื้น ผ้าเบรก ฉนวนกันความร้อน และ อุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นต้น
อันตรายของ Asbestos ต่อสุขภาพ
เนื่องจากแอสเบสตอสเป็นเส้นใยที่มีขนาดเล็กและฟุ่งกระจายได้ง่ายในบรรยากาศ จึงสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 2 ทาง คือ
- ทางจมูกโดยการสูดหายใจ
- ทางปากโดยการกลืนกิน อันตรายของแอสเบสตอสเมี่อเข้าสู่ร่างกายจะทําให้เกิดโรคดังนี้
โรคปอดอักเสบจาก แร่ใยหิน หรือ Asbestos
เกิดจากการหายใจรับเส้นใยเข้าไปทําให้ปอดแข็งเป็นพังผืด และอาจลามไปที่กระบังลมและเยื่อบุช่องท้อง เมื่อ ปอดแข็งเป็นพังผืดจะทําให้เหนื่อยง่าย ไอเรื้อรัง อ่อนเพลีย น้ำหนักลด หายใจลําบาก มีอาการเจ็บหน้าอกและตัว เขียวเนื่องจากขาดออกซิเจน โรคนี้อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงการทํางานระหว่างปีที่ 7 ถึงปีที่ 9 และอาจทําให้ผู้รับ สัมผัสเส้นใยตายได้ในช่วงปีที่ 13 ในรายที่พนักงานได้รับเส้นใยเป็นปริมาณมากอาจเสียชีวิตได้ในช่วงเวลาที่สั้น กว่าเวลาที่กล่าวข้างต้น
โรคมะเร็งปอด (Lung cancer)
ผู้ที่สัมผัสกับแอสเบสตอสมีโอกาสเป็นมะเร็งปอด โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่จะเพิ่มโอกาสการเกิดโรคมะเร็งปอด มากขึ้น
โรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด (Mesothelioma)
เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นบริเวณเยื่อหุ้มปอดและเยื่อบุช่องท้องมัก จะเกิดกับผู้ที่สัมผัสแอสเบสตอสชนิดครอซิโดไลท์ และอะโมไซท์ มะเร็งชนิดนี้อาจลุกลามไปยังบริเวณอื่นๆ เช่น กระเพาะและคอหอย พนักงานที่เป็น มะเร็งเยื่อหุ้มปอดชนิดนี้จะมีอาการหายใจขัด เจ็บหน้าอก และรายที่เป็นในเยื่อบุช่องท้อง จะมีอาการท้องบวมโต และปวดท้อง
สาเหตุการเกิดอันตรายของแร่ใยหิน หรือ Asbestos
เป็นที่ทราบกันแล้วว่าความเป็นอันตรายของแอสเบสตอสอยู่ที่เส้นใย เส้นใยของแร่ใยหินมีขนาดเล็กมาก มี อัตราส่วนความยาวต่อความกว้างเท่ากับ 3:1 เมื่อหายใจรับเส้นใยเข้าสู่ปอด เส้นใยจะสะสมและคงอยู่ในเนื้อเยื่อ ปอดตลอดไป เมื่อเส้นใยฝังอยู่ภายในเซลล์ปอด เซลล์ทําลายเชื้อโรคที่ชื่อมาโครฟาส์ก จะเข้าโอบล้อมเส้นใยไว้ ในเซลแล้วหลั่งเอ็นไซม์เพื่อที่จะย่อยทําลายเส้นใยแต่ไม่สามารถทําได้ เนื่องจากเส้นใยสามารถทนกรดได้ และ จากคุณลักษณะของเส้นใยที่มีปลายแหลมทั้งสองข้างทําให้เอ็นไซม์ที่อยู่ภายใน เซลล์ของมาโครฟาส์กรั่วออกสู่ ภายนอกเซลล์ ทําให้เกิดการย่อยสลายเซลล์มาโครฟาส์กเองและปล่อยให้เส้นใยเป็นอิสระ
กระบวนการโอบ ล้อม และทําลายเซลล์มาโครฟาส์กจะเริ่มใหม่อย่างต่อเนื่อง และเอ็นไซม์ที่ไหลออกสู่ภายนอกเซลล์มาโครฟาส์ก นี้สามารถก่อให้เกิดความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อปอดส่วนที่ดีได้อีกด้วย และสารเคมีที่หลั่งออกยังจะเรียกให้เซลล์ ภูมิคุ้มกันอื่นๆมารุมล้ อมในบริเวณนี้เพื่อทําลายเส้นใยอีกด้วย
เนื่องจากเส่นใยมีความคงทนและคงอยู่ถาวรใน ร่างกาย กลไกการทําลายเส้นใยจะก่อให้เกิดการทําลายเซลล์ปอดและกลไกการซ่อมแซมเซลล์ ปอดก็เกิดขึ้นอย่าง ต่อเนื่องตลอดเวลา ซึ่งจะส่งผลให้เนื้อเยื่อปอดเกิดการอักเสบ เกิดเป็นพังผืดและสามารถพัฒนาจนก่อให้เกิดเป็น เซลล์มะเร็งได้ พัฒนาการของการเกิดโรคจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ เป็นระยะเวลานับ 10 ปี และเมื่อตรวจพบอาการ ของโรคก็จะไม่สามารถรักษาให้หายได้ ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องทุกข์ทรมานจากอาการของโรคปอด จนกว่าจะเสียชีวิต
ปริมาณแร่ใยหิน หรือ Asbestos ในบรรยากาศการทํางานมีได้มากที่สุดเท่าใด
ตามกฎหมายความปลอดภัยในการทํางานของ กระทรวงแรงงาน ได้กําหนดให้ตลอดระยะเวลาการทํางานปกติของลูกจ้าง ห้ามลูกจ้างทํางานที่มีปริมาณฝุ่นแร่ ใยหินในบรรยากาศเกินกว่า 5 เส้นใยต่ออากาศ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร ส่วนค่ามาตรฐานความปลอดภัยตาม มาตรฐานสากล (ACGIH – TLV) ปี ค.ศ 2006 กําหนดให้ตลอดระยะเวลาการทํางานปกติของลูกจ้างห้ามมีฝุ่นแร่ ใยหิน (คริสโซไทล์) ในบรรยากาศการทํางานมีปริมาณเกินกว่า 0.1 เส้นใยต่อปริมาตรอากาศ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร
การป้องกันอันตรายในการกําจัดผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหิน หรือ Asbestos
การกําจัดผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหิน ควรดําเนินการโดยการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ดําเนินการ เพื่อป้องกัน การฟุ่งกระจายสู่ตัวพนักงานและผู้อื่นที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้นด้วย